การรำฉุยฉายพราหมณ์

โดย... จันทิมา แจ่มจำรัส

รำฉุยฉายพราหมณ์ 



รำฉุยฉายพราหมณ์ เป็นส่วนหนึ่งของการร่ายรำที่งดงามของตัวละครประเภทพระ จากบทพระราชนิพนธ์เบิกโรงดึกดำบรรพ์ เรื่องพระคเณศเสียงา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เนื้อเรื่องย่อมีอยู่ว่า ปรศุรามเจ้าแห่งพราหมณ์ทะนงตัวว่าเป็นที่โปรดปรานของพระอิศวร คิดจะเข้าเฝ้าในโอกาสที่ไม่สมควรพระคเณศได้ห้ามปราม ในที่สุดเกิดการวิวาท ปรศุราม ขว้างขวานโดนงาซ้ายพระคเณศหักสะบั้นไป พระอุมากริ้วปรศุรามจึงสาปให้หมดกำลังล้มกลิ้งดั่งท่อนไม้พระนารายณ์ทรงเล็งเห็นและเกรงว่าคณะพราหมณ์จะขาดผู้ปกป้อง อีกทั้งทรงทราบว่าพระอุมา ทรงเมตตาต่อเด็ก จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์น้อย ซึ่งเป็นปฐมเหตุให้เกิดการรำฉุยฉายพราหมณ์ขึ้น เนื้อเรื่องต่อไปพระอุมาประทานพรให้พราหมณ์ และสามารถแก้ไขคำสาปให้กลับกลายเป็นดีได้ในที่สุด 

การรำฉุยฉายพราหมณ์มีกำเนิดขึ้นในครั้งนั้น และเชื่อกันว่าเป็นศิลปะการร่ายรำที่งดงาม เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไป ลีลาท่ารำนั้นเชื่อกันว่าเป็นผลงานของพระยานัฏกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต) สืบทอดผ่านมา แต่รูปแบบท่าร่ายรำในปัจจุบันของกรมศิลปากร เป็นผลงานการปรับปรุงของนางลมุล ยมะคุปต์ อดีตผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร โดยเป็นลีลาท่ารำของตัวพระที่มีลักษณะของความเป็นหนุ่มน้อยที่มีความงดงามและท่าที่นวยนาดกรีดกราย

โอกาสที่ใช้แสดง ใช้เป็นการรำเบิกโรงและการแสดงในงานเบ็ดเตล็ดทั่วไป

ดนตรีประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์บรรเลง
การบรรเลงดนตรีในเพลงฉุยฉาย 
ฉุยฉายเป็นเพลงในอัตราจังหวะ ๒ ชั้น มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เดิมการร้องเพลงฉุยฉาย ใช้ดนตรีรับ ๑ - ๒ เที่ยวทุกๆท่อน แต่ปัจจุบันนิยมใช้ปี่รับเพียงเที่ยวเดียว ตามปกติเพลงฉุยฉายจะมีเพลง ๒ เพลงรวมอยู่ด้วยกัน คือเพลงฉุยฉาย และเพลงแม่ศรี โดยที่ในตอนแรกจะร้องเพลงฉุยฉายก่อน ร้องหมดท่อนหนึ่งก็มีปี่เป่าเลียนทำนอง และเสียงร้องเพียงชิ้นเดียวก่อน แล้วจึงบรรเลงรับต่อด้วยเพลงแม่ศรีติดต่อกันไป การที่ต้องร้องเพลงฉุยฉาย และเพลงแม่ศรีติดต่อกันนั้น เพราะถือว่า เพลงฉุยฉายเป็นเพลงช้า เพลงแม่ศรีเป็นเพลงเร็วซึ่งเป็นเพลง ๒ ชั้น เรียกตามหน้าทับว่า "สองไม้" การบรรเลงดนตรีจะเริ่มด้วยเพลงรัว ร้องเพลงฉุยฉาย และเพลงแม่ศรี จบด้วยเพลงเร็ว - ลา ซึ่งเป็นลักษณะที่นิยมโดยทั่วไป
โดยมีบทร้องดังนี้

...ปี่พาทย์ทำเพลงรัว 
ร้องฉุยฉาย
ฉุยฉายเอย
ช่างงามขำช่างรำโยกย้าย
สะเอวแสนอ่อนอรชรช่วงกาย
วิจิตรยิ่งลายที่คนประดิษฐ์
สองเนตรคมขำแสงดำมันขลับ
ชม้อยเนตรจับช่างสวยสุดพิศ

สุดสวยเอย
ยิ่งพิศยิ่งเพลินเชิญให้งงงวย
งามหัตถ์งามกรช่างอ่อนระทวย
ช่างนาดช่างนวยสวยยั่วนัยนา
ทั้งหัตถ์ทั้งกรก็ฟ้อนถูกแบบ
ดูยลดูแยบสวยยิ่งเทวา

ร้องแม่ศรี
น่าชมเอย น่าชมเจ้าพราหมณ์
ดูทั่วตัวงาม ไม่ทรามจนนิด
ดูผุดดูผ่อง เหมือนทองทาติด
ยิ่งเพ่งยิ่งพิศ ยิ่งคิดชมเอย

น่ารักเอย น่ารักดรุณ
เหมือนแรกจะรุ่น จะรู้เดียงสา
เจ้ายิ้มเจ้าแย้ม แก้มเหมือนมาลา
จ่อจิตติดตา เสียจริงเจ้าเอย
...ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว-ลา

หมายเหตุ การรำฉุยฉายพราหมณ์นี้สามารถตัดทอนให้สั้นลงได้ตามความเหมาะสม เช่น ร้องฉุยฉายบทแรกต่อด้วยแม่ศรีบทใดบทหนึ่ง
เนื้อร้องในหนังสืออธิบายนาฏศิลป์ไทยของนายธนิต อยู่โพธิ์ ในบทสุดสวยเอย มีที่แตกต่างจากปัจจุบัน คือใช้ว่า "งามหัตถ์งามกรช่างฟ้อนระทวย"

การแต่งกายของผู้แสดงนั้น แต่งยืนเครื่องพระสีขาว สวมกระบังหน้า ไว้ผมมวย มีเกี้ยวครอบ ความยาวของชุดการแสดงนั้นแตกต่างกัน คือ ฉุยฉายพราหมณ์แบบเต็ม ใช้เวลาแสดงประมาณ ๑๒ นาที ฉุยฉายพราหมณ์แบบตัดใช้เวลาแสดงประมาณ ๗ นาที




รำฉุยฉายเบญกายแปลง 



เป็นลีลาการร่ายรำของตัวนางเบญกาย บุตรีของพิเภก พญายักษ์ ซึ่งเป็นน้องของทศกัณฐ์ ฉะนั้นเบญกายจึงมีศักดิ์เป็นหลานของทศกัณฐ์ เมื่อพิเภกถูกขับไล่จากลงกา นางก็หมดอำนาจวาสนา ครั้งหนึ่งทศกัณฐ์วางอุบายที่จะล่อลวงพระรามว่านางสีดาตายเสียแล้ว จึงใช้ให้เบญกายแปลงเป็นสีดา เบญกายจำเป็นต้องรับอาสาด้วยเกรงภัยที่จะตกแก่ตนและแม่ เบญกายไม่เคยเห็นว่าสีดามีรูปโฉมอย่างไร จึงทูลขออนุญาตไปดูเสียก่อน เมื่อกลับมาจากอุทยานท้ายกรุงลงกาจึงแปลงกายเป็นสีดา ด้วยเหตุนี้จึงให้กำเนิดชุดนาฏศิลป์ที่งดงามคือฉุยฉายเบญกาย กระบวนลีลาท่ารำแฝงไว้ด้วยความหมายว่า แม้ใครได้เห็นรูปที่แปลงนี้จะต้องหลงใหลในความงดงาม ประดุจต้องศรปักอก 

บทร้องประกอบการรำฉุยฉายเบญกายนี้ ปรากฎอยู่ในบทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงค์ เป็นครั้งแรก ในชุดที่เรียกว่า ตับนางลอย ต่อมาจึงแพร่หลายนำไปประกอบการแสดงโขน ชุดนางลอย ในฉบับอื่น ๆ ทุกครั้งกระบวนลีลาท่ารำสันนิษฐานว่า หม่อมครูท่านต่าง ๆ ของเจ้าพระยาเทเวศร์วงค์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) เป็นผู้คิดประดิษฐ์ขึ้นและถ่ายทอดสืบมายังครู อาจารย์ท่านต่าง ๆ อาทิ นางเฉลย ศุขะวนิช สืบทอดมาจากหม่อมครูนุ่ม นวรัตน์ ณ อยุธยา นางสาวจำเรียง พุทธประดับ สืบทอดมาจากหม่อมครู ศุภลักษณ์ (ต่วน ภัทรนาวิก) ซึ่งมีความงดงามวิจิตรบรรจงทัดเทียมกัน คือ เป็นลีลาท่ารำของตัวนางเบญกายที่แปลงกายเป็นนางสีดาขึ้นเฝ้าทศกัณฐ์เพื่อให้ดูว่าตนแปลงได้เหมือนสีดาเพียงไร 
ลักษณะท่ารำแสดงความภาคภูมิใจยั่วยวนด้วยจริตมารยา
ดนตรีประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์บรรเลง โดยมีบทร้องดังนี้

ปี่พาทย์ทำเพลงรัว
ร้องฉุยฉาย
ฉุยฉายเอย
จะไปไหนนิดเจ้าก็กรีดกราย
เยื้องย่างเจ้าช่างแปลงกาย
ละเมียดละม้ายสีดานงลักษณ์
ถึงพระรามเห็นทรามวัย
จะฉงนพระทัยให้อะเหลื่ออะหลัก

งามนักเอย
ใครเห็นพิมพ์พักตร์ก็จะรักจะใคร่
หลับก็จะฝันครั้นตื่นก็จะคิด
อยากเห็นอีกสักนิดให้ชื่นใจ
งามคมดุจคมศรชัย
ถูกนอกทะลุในให้เจ็บอุรา

ร้องแม่ศรี
แม่ศรีเอย แม่ศรีราษศรี
แม่แปลงอินทรีย์ เป็นแม่ศรีสีดา
ทศพักตร์มลักเห็น จะตื่นจะเต้นในวิญญาณ์
เหมือนล้อเล่นให้เป็นบ้า ระอาเจ้าแม่ศรีเอย

อรชรเอย อรชรอ้อนแอ้น
เอวขาแขนแมน แม้นเหมือนกินรี
ระทวยนวยนาด วิลาสจรลี
ขึ้นปราสาทมณี เฝ้าพระปิตุลาเอย
...ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว - ลา

หมายเหตุ อาจตัดทอนได้ตามความเหมาะสม โดยใช้บทฉุยฉายบทแรกและแม่ศรีบทใดบทหนึ่งเช่นเดียวกับฉุยฉายพราหมณ์
การแต่งกาย แต่งยืนเป็นเครื่องนาง สวมมงกุฎกษัตริย์ ความยาวของชุดการแสดงนั้น ฉุยฉายเบญกายแบบเต็มใช้เวลาแสดงประมาณ ๑๐ นาที ฉุยฉายเบญจกายแบบตัดใช้เวลาแสดงประมาณ ๗ นาที